วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย

สิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย
เรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยเป็นเรื่องสากลหรือไม่ ทั้งสองเรื่องเป็น แนวความคิดตะวันตก ต้นกำเนิดของประชาธิปไตยมีมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ (วัฒนธรรมอื่นๆ ทั้งก่อนและหลังยุคกรีกโบราณมีโครงสร้างของกระบวนการตัดสินใจทางสังคมต่างออกไป แต่ก็มีส่วนร่วมและลักษณะ ประชาธิปไตย เช่นเน้นเรื่องประชามติ (consensus) และไม่อาศัยเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์)

แนวคิดเรื่องภาวะสังเคราะห์ (Concept of Synthesis)
เฮเกลนักปรัชณาชาวเยอรมันได้พัฒนาแนวคิดเรื่องภาวะพื้นฐาน และภาวะแย้ง ที่นำไปสู่ภาวะสังเคราะห์ (ซึ่งเป็นพื้นฐานของคาร์ล มากซ์ และลัทธิมาร์กซิสต์ ลัทธิคอมมิวนิสต์)

สิ่งที่เฮเกลพัฒนาเป็นแนวคิดคือแต่ละสถานะย่อมมีสถานะด้านคงอยู่และปฏิสัมพันธ์ระหว่างสถานะและสถานะด้านในท้ายที่สุดจะนำไปสู่สิ่งใหม่ที่มีระดับสูงกว่าที่เรียกว่าภาวะสังเคราะห์ ซึ่งหมายความว่าภาวะสังเคราะห์จะครอบคลุมและเปลี่ยนสถานะและสถานะด้านให้มีคุณภาพที่สูงกว่าและเป็นองค์รวมโดยหลอมรวมกันเป็นสิ่งใหม่ ระดับใหม่ที่เกิดขึ้นมีระดับที่สูงกว่าในแง่ความซับซ้อน การจัดระเบียบ การสื่อสาร พลังงานและการประมวลผลข้อมูล เป็นต้น
ความเห็น แต่ละสถานะทางปรัชญาหรือทางการเมืองหรืออื่นๆ ที่มีความรุนแรงหรือสุดขั้วมีลักษณะที่เป็น ความจริง อยู่ในตัวแม้ว่าจะไม่แสดงออกมาให้เห็น (ในประวัติศาสตร์)

เพราะฉะนั้นแต่ละสถานะของข้อความ (ทางสังคม) ต้องนำมาวิเคราะห์อย่างจริงจังและระมัดระวังเพราะว่าเราสามารถเรียนรู้ได้จากสถานะเหล่านี้

ระบบประชาธิปไตย
ระบบประชาธิปไตยเป็นตัวแทนที่เป็นทางการของผลประโยชน์บางส่วน (คือพรรคการเมือง เป็นต้น) กลุ่มคนที่มีผลประโยชน์เดียวกัน คล้ายกันหรือเหลื่อมล้ำกันจะก่อให้เกิดกลุ่มผลประโยชน์ พรรคการเมืองเพื่อให้แข่งขันได้ในทางผลประโยชน์และต่อด้านผลประโยชน์ของกลุ่มอื่น ซึ่งนำไปสู่การสร้างความขัดแย้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประชาธิปไตยเป็นกลไกที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการยอมรับกฎเกณฑ์ทั่วไปเพื่อรักษาความขัดแย้งให้อยู่ในขอบเขต (เช่นไม่มีความรุนแรง) และหาวิธีประสานความขัดแย้งให้อยู่ในระดับที่ไม่เหมาะสมประชาธิปไตยเป็นกลไกของการไกล่เกลี่ย เป็นเรื่องของประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงเปรียบเสมือนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง ประชาธิปไตยควบคู่ไปกับกฎทางสถิติ ในบางครั้งท่านเป็นฝ่ายถูก ในบางครั้งเราเป็นฝ่ายถูกและตลอดเวลาที่ความขัดแย้งในผลประโยชน์และจุดมุ่งหมายได้บรรเทาลง

ระเบียบโลกใหม่ วัฒนธรรมแห่งสันติภาพ
ในการแสวงหาเพื่อรักษาและส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงในระดับสากล สหประชาชาติประกาศให้ปี ค.ศ. 2000 เป็นทศวรรษของ วัฒนธรรมแห่งสันติและการไร้ความรุนแรง จุดประสงค์หลักประการหนึ่งคือให้เป็นทศวรรษแห่งโลกที่ปรับเปลี่ยนจาก วัฒนธรรมแห่งสงคราม ให้เป็น วัฒนธรรมแห่งสันติภาพ จุดมุ่งหมาย (เพื่อมนุษยชาติ) คือการป้องกันและกดดันการรุกรานต่างๆ และในที่สุดได้ขจัดสิ่งเลวร้ายของความรุนแรงทุกรูปแบบให้หมดไปจากจิตใจของคนและจากโลกนี้

สมัชชาแห่งสหประชาชาติได้มีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อปี ค.ศ. 1970 ประนามการรุกรานว่าเป็น อาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุดต่อสันติภาพและความมั่นคงของทั้งโลก แต่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ บุคคลสำคัญต่างๆ ยังคงไม่สามารถและ/หรือไม่เต็มใจที่จะระงับการรุกราน (และความรุนแรง) ให้ชัดเจน และยังคงตัดสินใจในเรื่องราวต่างๆ เพื่อตนเองเมื่อต้องการแก้ปัญหาต่างๆ ผลประโยชน์ของตนเองและพรรคพวกมักจะยึดติดหรือบดบังการกล่าวหาต่างๆ เมื่อพูดถึงรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง อย่างไรก็ตามสถานการณ์ที่ดำรงอยู่นี้ และอนาธิปไตยในระดับสากลเป็นสิ่งที่เหลือทนสำหรับคนทั้งโลก เราต้องหาวิธีปิดช่องว่างระหว่างการกระทำที่เลวร้ายในอดีตและความต้องการระเบียบโลกใหม่แห่งสันติภาพและความรักในอนาคต

คำถามเกี่ยวกับองค์ประกอบของการใช้กำลังที่ถูกกฎหมาย (และมีเพียงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเท่านั้นที่มีอำนาจใช้กำลัง) อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าการป้องกันตนเองและอะไรคือสิทธิในการกำหนดการปกครองด้วยตนเอง (และเป็นสิทธิที่ชัดเจนหรือไม่ที่จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุสิ่งนั้นรวมทั้งการใช้ความรุนแรงที่กล่าวอ้างว่าชอบด้วยกฎหมาย) ยังคงไม่มีคำตอบในเรื่องเหล่านี้ อีกประการหนึ่งคือ จวบจนทุกวันนี้ยังไม่มีผลที่รุนแรงจากการรุกรานและกับผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อการรุกราน พวกเขายังคงไม่ต้องรับผิดชอบต่อโลก (มวลมนุษย์ชาติ)

ความท้าทายที่น่ากลัวยิ่งต่อชุมชนของโลกในยุคสมัยของเรา ครอบคลุมภาระกิจสองประการคือ การกำหนดโครงสร้างอำนาจที่สามารถผลักดันประชาชนให้หลุดพ้นจากภาวะปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว อนาธิปไตยในระดับสากลและการคุกคามให้ไปสู่ระเบียบของโลกที่สมบูรณ์แบบในด้านสิทธิมนุษยชน ความเที่ยงธรรม ความยุติธรรม ความมีศักดิ์ศรี ความมีระเบียบและความรัก กล่าวคือเป็นวัฒนธรรมแห่งสันติภาพ อีกประการหนึ่งคือการทำให้โครงสร้างดังกล่าวได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายและนำไปปฏิบัติ

แม้ว่าภาวะหยุดนิ่งที่เป็นผลมาจากความกลัวการเปลี่ยนแปลงและ/หรือการเข้าร่วมเป็นภาคีเพื่ออำนาจเกิดขึ้น แต่ความตั้งใจที่มีมานานเพื่อจัดระเบียบสังคมให้มีเหตุผล มีความยุติธรรม เที่ยงตรงและเท่าเทียมกันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถต้านทานได้ การแพร่กระจายของประเทศต่างๆ ที่ใช้วิธีทำลายซึ่งกันและกัน การทำลายระบบส่งเสริมการดำเนินชีวิตที่เติบโตอย่างรวดเร็ว (สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ) และการเพิ่มขึ้นของการก่อการร้ายสากล เป็นสิ่งที่บังคับให้เกิดการร่วมมือกันในด้านต่างๆ มากกว่าที่จะไปใฝ่ฝันอยู่กับอดีต ทะเล ท้องฟ้า และอากาศที่เราหายใจเป็นเพียงบรรยากาศอันน้อยนิดที่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือและความมั่นคงร่วมกันเพื่อทำให้มีมากขึ้น

นับเป็นความล้าสมัยที่อันตรายเมื่อประเทศต่างๆ ที่ถูกจำกัดขอบเขตอำนาจยังคงพยายามใช้ดุลพินิจเพื่อกำหนดท่าทีของตัวเอง เมื่อต้องการใช้อำนาจและใช้กองกำลังติดอาวุธต่อต้านเพื่อนบ้านหรือคนอื่นๆ เราต้องจำกัดอนาธิปไตยในระดับสากล นับเป็นสิ่งที่อันตรายเกินกว่าที่จะยอมรับได้ จากการให้ความหมายของความรุนแรงและการรุกรานทำให้ไม่มีใครจะเสแสร้งได้อีกต่อไป เพราะฉะนั้นสันติภาพของโลกจะต้องเกิดขึ้น ความรุนแรง การรุกราน และการเป็นคู่สงครามไม่ใช่เป็นไวรัสที่สามารถขจัดได้โดยใช้การพูดไปตามสูตร การฉีดวัคซีน การรณรงค์ระหว่างประเทศ หรือการรณรงค์ของสหประชาชาติ ไม่มีสูตรที่แน่นอน ไม่มีรายละเอียดหรือความชัดเจนระดับใดที่คาดหวังว่าจะช่วยลดความไม่เข้าใจกันในเรื่องการตีความหรือการนำไปใช้ แต่เป็นเพียงแนวทางช่วยให้ระบุปัจจัยที่เกี่ยวข้องได้ เพื่อนำไปดำเนินการหาสิ่งแวดล้อมภายใต้การใช้ความรุนแรงที่ยอมรับได้ในระดับสังคมระหว่างประเทศ ประชากรของโลกที่ตกเป็นเหยื่อของการรุกรานต้องมีสมมติฐานที่เป็นรูปธรรมเพื่อเริ่มหามาตรการที่ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลต่อชะตากรรมของพวกเราทุกคน

บทสรุป
ขบวนการสร้างระเบียบของโลก คือการสร้างวัฒนธรรมแห่งสันติภาพ และการไร้ความรุนแรงและความรักจะเป็นหนทางที่ยาวไกลและต้องใช้ความพยายามตั้งแต่ก้าวแรกที่สำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดความหมายที่ชัดเจนของการรุกรานไปจนถึงการป้องกันและการแก้ปัญหาความขัดแย้ง จนท้ายที่สุดการขจัดความคิดที่จะใช้ความรุนแรงในการจัดการกับข้อพิพาทและความขัดแย้งทุกระดับ ประมวลความผิดต่อสันติภาพและความมั่นคงของมนุษยชาติ และศาลอาญาระหว่างประเทศเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งที่นำไปสู่การจัดการกับอาชญากรรมระหว่างประเทศ เช่น การรุกราน การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การแบ่งแยกสีผิว และอาชญากรรมอื่นๆ ที่กระทำต่อมนุษยชาติ

คนกำลังสอบถามเกี่ยวกับความชัดเจนของความหมาย การใช้ศาล การรณรงค์ของสหประชาชาติ เป็นต้น นับเป็นสิ่งที่ไม่สามารถใช้บังคับได้ และทำไมต้องเสียเวลาใช้ความพยายามและสูญเสียเงิน เพื่อแสวงหาความฝันในสังคมอุดมคติ คำตอบก็คือ ในโลกแห่งความหวาดกลัว สงครามและความรุนแรง เราต้องเลือกที่จะอยู่ด้วยความสิ้นหวัง หรือว่าจะอยู่ด้วยความหวัง ข้าพเจ้าเลือกที่จะอยู่ด้วยความหวังและขอเชิญชวนท่านทั้งหลายอยู่ด้วยความหวังเช่นเดียวกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น